http://detox.igetweb.com
สร้างเว็บไซต์Engine by iGetWeb.com
 

 หน้าแรก

 รายการสินค้า

 สั่งซื้อและชำระเงิน

 ความรู้ทั่วไป

 ถามมา-ตอบไป

สถิติ

เปิดเว็บ08/03/2008
อัพเดท26/06/2020
ผู้เข้าชม143,558
เปิดเพจ224,561

บริการ

หน้าแรก
บทความทั่วไป
ถาม-ตอบ
รูปภาพสินค้า
สั่งซื้อและชำระเงิน

ปฎิทิน

« April 2024»
SMTWTFS
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930    
iGetWeb.com
AdsOne.com

ข้อสงสัยต่างๆของการทำ ดีทอกซ์

ข้อสงสัยต่างๆเกี่ยวกับการทำ ดีทอกซ์

ข้อสงสัยข้อที่ 1

“การสวนทวารหนักด้วยน้ำเกลือ กาแฟ หวังล้างพิษออกจากร่างกาย จะมีอันตรายทำให้ลำไส้ระคายเคือง ระบม และระเบิดได้หรือไม่"

คำตอบข้อที่ 1
ไม่มีการใช้น้ำเกลือในการสวนด้วยกาแฟ การเอาพิษของเกลือมาขู่จึงเป็นเรื่องที่ไร้สาระ ส่วนการสวนล้างลำไส้ด้วยกาแฟกำหนดสำหรับคนที่สูงต่ำกว่า 160 ซ.ม. ให้ใช้น้ำละลายกาแฟ 1,000 ซีซี สูงกว่านี้กำหนดให้ใช้ไม่เกิน 1,200 ซีซี จึงไม่มีการระคายเคืองหรือทำให้ลำไส้ระเบิด

ข้อสงสัยข้อที่ 2
คนที่เป็นลำไส้ติ่งอักเสบ ลำไส้อุดตัน มะเร็งลำไส้ โรคไต ควรอยู่ภายใต้ความดูแลของแพทย์
ไม่ควรสวนทวารหนักโดยพลการ การรับน้ำหรือเกลือมากเกินไปมีผลต่ออวัยวะผิวสัมผัสของลำไส้ใหญ่ทั้งนี้ลำไส้ใหญ่มีหน้าที่ดูดซึมน้ำเข้าสู่ร่างกาย เมื่อสวนน้ำเกลือหรือกาแฟเข้าไปร่างกายจะได้รับทั้งเกลือ กาเฟอีน ผ่านการดูดซึมของลำไส้ใหญ่บางคนที่ไวต่อเกลือและกาเฟอีนอาจเป็นอันตรายได้.”

คำตอบข้อที่ 2
คนที่มีลำไส้อุดตัน ต้องไปรักษาในโรงพยาบาลเท่านั้นเพราะมีอาการปวดท้องอย่างมาก ไม่มีการผายลม ท้องจะอืดอย่างมากและถ้าเป็นนานจะมีอาการอาเจียนอย่างรุนแรง คนมีอาการเหล่าไม่สามารถทำการสวนฯทวารได้อยู่แล้ว
สำหรับคนที่เป็นโรคไตที่ยังไม่ต้องล้างไตถ้าบียูเอ็น (BUN) ครีเอตินิน (Cleatinine) ไม่สูงมากแพทย์ทางเลือกมักจะแนะนำ ให้ทำการสวนทวารฯเอาพิษออกจากร่างกาย เปลี่ยนการรับประทานอาหารโดยเลิกรับประทานของหวาน ของเค็ม ของมัน ฝึกการหายใจให้ดี ช่วยร่างกายขับพิษด้วยการนวดต่อมน้ำเหลือง พบว่าหลายรายก็ยังมีโอกาสหายได้ สำหรับคนที่ไตเสียต้องฟอกไตเอาพิษออกหน้ายังดำ เพราะมีการห้ามกินอาหารหลายชนิดจนขาดสารอาหาร
แพทย์ทางเลือกแนะนำให้เลิกรับประทานเนื้อสัตว์และทำการสวนทวารฯ ด้วยกาแฟวันละสองครั้ง เอาพิษออกจากปอดโดยการฝึกการหายใจใหม่ นวดต่อมน้ำเหลือง เดินออกกำลังกาย อบร่างกายให้เหงื่อออก รับประทานสารอาหารที่ ร่างกายขาดไป ให้บำรุงร่างกายโดยรับประทานวิตามินเกลือแร่เข้าช่วย ผู้ป่วยจะมีสุขภาพดีขึ้น บางคนสามารถไปตีกอล์ฟได้
สำหรับคนที่ไวต่อคาเฟอีนมากๆมีข้อห้ามทำการสวนทวารด้วยกาแฟตามข้อห้ามที่ 3.

ข้อสงสัยข้อที่ 3
การกินอาหารที่กากใยสูง ผัก ผลไม้ ดื่มน้ำสะอาด ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ร่างกายมีระบบขับถ่ายของเสียได้เองอยู่แล้ว ทำไมยังทำการสวนทวารด้วยกาแฟอีก

คำตอบข้อที่ 3
การทำการสวนทวารด้วยกาแฟมีจุดประสงค์เพื่อกระตุ้นตับให้ล้างสารพิษออกจากตับเป็นหลักใหญ่ การช่วยการขับถ่ายเป็นผลพลอยได้เท่านั้น การสวนทวารฯด้วยน้ำกาแฟ เมื่อน้ำกาแฟเข้าไปในทวารหนักแล้วควรจะอั้นไว้ให้ได้ประมาณ 12 นาที เพื่อให้ลำไส้ดูดซึมคาเฟอีนและสารอื่นๆในน้ำกาแฟไปกระตุ้นตับให้ขับพิษออกมา และน้ำที่ใช้ละลายกาแฟ 800-1300 ซีซีจะเป็นผลให้ลำไส้ใหญ่บีบตัวให้กากอาหารที่ค้างอยู่ในลำไส้ใหญ่ออกมาเป็นการล้างลำไส้ให้สะอาดอีกด้วย

ข้อสงสัยข้อที่ 4
ต้องดูว่ามีความจำเป็นต้องสวนทวารหนักหรือไม่ ข้อห้ามเป็นอย่างไร
คนที่สวนต้องมีความรู้ความชำนาญ ไม่ใช่ใครก็สวนได้ เพราะลำไส้เหมือนลูกโป่ง หากเป่าลมเข้าไปมากลูกโป่งก็แตกได้ เนื่องจากน้ำมีแรงดัน หากน้ำที่ไหลเข้ามีแรงดันสูงก็เป็นอันตรายได้
เคยมีผู้สวนทวารหนักด้วยกาแฟแต่น้ำร้อนเกินไปทำให้ลำไส้พองอักเสบ จนต้องเข้ารับการรักษา
ผู้สวนต้องรู้ว่าใช้ความดันเท่าใด อุณหภูมิเหมาะสม และเอาน้ำอะไรมาสวน
หมออาจใช้น้ำสบู่กรณีท้องผูก ทุกคนใช้น้ำไม่เท่ากัน พวกที่เป็นลำไส้อุดตันต้องดูปริมาณน้ำด้วย ว่าน้ำใส่เข้าไปเท่าใดแล้วน้ำจะออกมาเท่าใด
ต้องพิจารณาความถี่ในการสวนทวารหนักด้วย เช่น เด็กอ่อนหากสวนทวารหนักบ่อย ๆ ลำไส้เด็กจะไม่ทำงาน ไม่บีบตัว เด็กจะไม่ถ่ายอุจจาระเอง

คำตอบข้อที่ 4
การสวนทวารหนักด้วยกาแฟมีที่ควรพิจารณาด้วยตัวผู้ที่จะสวนเอง เช่นมีอาการตัวร้อน มีอาการทางจิต ประสาท ปวดท้อง ท้องอืด หอบ หายใจติดขัด ที่ทางอายุรเวชถือว่าเป็นอาการของวาตะพิการ
พระราชบัญญัติการประกอบโรคศีลปะ พ.ศ. 2542 มาตรา 30(1) กล่าวว่า”บุคคลทั่วไปทุกคน มีสิทธิที่จะเยียวยา
ตนเอง หรือรักษาพยาบาลตนเองได้โดยชอบด้วยกฎหมาย แต่ต้องรับผิดชอบในผลแห่งการกระทำนั้นด้วยตนเอง”
การที่บุคคลใดจะทำการสวนทวารด้วยกาแฟจึงควรศึกษาให้ดี เช่นต้องระวังเรื่องแรงดันน้ำ และไม่ให้น้ำร้อนจัดเกิน
ไป แขวนถุงสวนไม่ให้สูงเกิน 1 เมตร (ตามคำแนะนำความดันน้ำต่ำมาก)และเอานิ้วก้อยจุ่มลงในน้ำกาแฟที่จะ ทำการ
สวนทวารฯนับหนึ่งยี่สิบถ้าอุ่นพอดีจึงใช้สวนทวารฯได้
การสวนด้วยกาแฟมีข้อห้ามสวนเด็กในวัยเจริญเติบโตอยู่แล้ว(ตามข้อห้าม 1) จึงไม่มีการสวนทวารในเด็กเล็ก
ขอเน้นว่าอย่าประมาท โดยเฉพาะการเอาน้ำร้อนจัดเข้าไปลวกลำไส้เป็นอันตรายจริงๆ ต้องเอานิ้วก้อยจุ่มลงในน้ำกาแฟ
ที่จะ ทำการสวนทวารฯนับหนึ่งยี่สิบทุกครั้ง ถ้าอุ่นพอดีจึงใช้สวนทวารฯได้
หมออาจใช้น้ำสบู่กรณีท้องผูกข้อนี้เป็นการประกอบโรคศีลปะของเวชกรรมแผนปัจจุบัน ทางแพทย์ทางเลือกไม่มี
ที่ใช้

ข้อสงสัยข้อที่ 5
“การทำให้ร่างกายแข็งแรง ไม่จำเป็นต้องสวนทวารหนักล้างพิษ การรับประทานอาหารที่มีกากใยสูงผัก ผลไม้ ทำหน้าที่ช่วยให้ระบบการขับถ่ายของร่างกายปกติ ขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย ตามธรรมชาติอยู่แล้ว ขอให้ดูแลอาหารการกินให้ดี ระวังอาหารไขมันสูง หมั่นออกกำลังกาย ดื่มน้ำสะอาด ผู้ที่ออกกำลังกายประจำระบบการขับถ่ายจะทำงานปกติ ไม่ท้องผูก”

คำตอบข้อที่ 5
เห็นด้วยกับข้อแนะนำนี้เป็นอย่างมากเพราะเพียงแต่ ทำให้ประชาชนรับประทานอาหารตามที่บอก ออกกำลังกายตามที่ท่านว่า ดื่มน้ำสะอาดตามที่สอน ประชาชนนอกจากไม่ต้องทำการสวนทวารตามที่เตือน ประชาชนยังจะมีสุขภาพที่ดีเยี่ยม ไม่เป็นโรคแห่งความเสื่อม ไม่เป็นโรคมะเร็ง ไม่เป็นโรคไต ไม่เป็นโรคหัวใจ ไม่เป็นโรคความดันโลหิตสูง ว่าแต่คิดออกหรือยังว่าจะทำอย่างไรให้ประชาชนทำได้อย่างนี้จริง ๆ พวกเราชาวสวนล้างทวารฯด้วยกาแฟก็ได้แต่อาศัยพลังอันน้อยนิดของเราคอยบอกกล่าวให้ผู้คนทั่วไปเฝ้าระวังไม่ประมาทต่อคำเตือนของร่างกาย เมื่อมีอาการเจ็บคอ เป็นหวัด ท้องอืดหลังดื่มสุรา นอนดึก ว่าภูมิต้านทานของร่างกายได้ลดลงแล้ว ถ้าไม่เปลี่ยนวิถีการใช้ชีวิต ร่างกายก็จะเปลี่ยนให้ เช่น ให้เป็นโรคตับอักเสบ ตับแข็ง เป็นมะเร็ง หรือมีไขมันในเลือดสูง เป็นโรคหัวใจ หอบเหนื่อย ถึงเวลานั้นอย่าว่าแต่จะไปเที่ยวกลางคืนเลยแม้จะคลานขึ้นเตียงก็ไม่มีเรี่ยวแรงแล้ว ไม่รู้ว่าจะเป็นโชคร้ายหรือดี อาจได้นั่งกินนอนกินอย่างคนโบราณว่าเพราะแขนขาตายเป็นอัมพาต ถ้าเปลี่ยนนิสัยไม่ได้ช่วยร่างกายขจัดสารพิษแต่ยังเอาสารพิษเพิ่มเข้าไปอีก
ข้อเน้นว่าการสวนทวารฯด้วยกาแฟมีจุดประสงค์เพื่อกระตุ้นตับให้ล้างสารพิษออกจากตับเป็นหลักใหญ่

ข้อสงสัยข้อที่ 6
การทำ”ดีท็อกซ์”แล้วจะมีคราบกาแฟไปจับที่ลำไส้ใหญ่เหมือนคราบกาแฟที่จับตามฟัน

คำตอบข้อที่ 6
ถ้าคิดถึงเหตุผลจะเห็นว่าริมฝีปากหรือกระพุ้งแก้มไม่มีคราบกาแฟติดอยู่เลยเพราะทั้งริมฝีปากและกระพุ้งแก้มร่างกายสร้างน้ำเมือกน้ำลายมาหล่อเลี้ยงให้เปียกชื้นตลอดเวลาคราบกาแฟจึงไม่ติดริมฝีปากและกระพุ้งแก้ม ในลำไส้ใหญ่ก็มีกระบวนการคล้ายๆกันคราบกาแฟจึงไม่มีโอกาสไปจับติดผนังลำไส้ใหญ่
<!--[if !vml]--><!--[endif]-->
นอกจากนี้ลำไส้ใหญ่ยังมีแบคทีเรียนับ 1,000 ล้านตัวฉาบอยู่ภายในลำไส้หนาถึง 2 ซม.ยาวตลอดลำไส้ใหญ่ที่ยาวประมาณ 4.5-5.0ฟุต ไม่มีทางที่คราบกาแฟจะจับติดผนังลำไส้ใหญ่

ข้องสงสัยที่7 การสวนทวารฯทำให้ลำไส้บางลง

คำตอบข้อที่ 7
การที่กากอาหารที่แข็งครูดผ่านลำไส้ใหญ่ทุกวันไม่พบว่าทำให้ลำไส้บาง แต่กากอาหารที่มีน้ำละลายจนไม่ไม่มีกากแข็งเลยกลับหาว่าจะไปทำให้ลำไส้บางไม่เป็นสาระจริงๆ

ปัญหาเกี่ยวกับการล้างพิษในลำไส้ใหญ่

การมีที่พิษค้างอยู่ในตับเกิดขึ้นเพราะเหตุใด?
เกิดขึ้นในกรณีที่เอนไซม์กลูตาไธโอนในร่างกายมีไม่ ทำให้ตับไม่สามารถขับสารพิษที่ละลายน้ำออกไปได้ ทำให้สารเหล่านี้มีพิษมากขึ้นกว่าเดิม บางตัวอยู่ในสภาพสารอนุมูลอิสระที่มีฤทธิ์ร้ายแรง บางตัวอาจกลายเป็นสารก่อมะเร็งได้ด้วย เพื่อป้องไม่ให้ตับและเซลล์อื่น ๆ เสียหายไปมากกว่านี้ ร่างกายจะเปลี่ยนสารเหล่านี้ไปเป็นสารที่มีโครงสร้างคล้ายคลอรัลไฮเดรต (Chloral hydrate) ซึ่งออกฤทธิ์เป็นยานอนหลับ เมื่อร่างกายผลิตสารนี้ออกมาก็จะทำให้คนที่ทำการสวนทวารด้วยกาแฟมีอาการง่วง ซึม ปวดเมื่อยตามตัว ขี้เกียจ และรู้สึกไม่มีแรง
การแก้ไขผลจากการตกค้างของสารพิษ เราต้องเพิ่มสารที่ไปช่วยเสริมสร้างเอนไซม์กลูตาไธโอน โดยรับประทานขมิ้นชันขององค์การเภสัชกรรม 2 แคปซูล ก่อนการสวนทวารด้วยกาแฟสักครึ่งชั่วโมง และถ้าหาได้อาจใช้เพิ่มน้ำยาที่ได้จากสมอไทย สมอพิเภก สมอเทศ และมะขามป้อม (แพทย์แผนไทยเรียกจตุผลาธิกะ) สัก 2 ช้อนโต๊ะก่อนนอน

การสวนทวารหนักจะใช้วาสลินทาสายสวนฯได้หรือไม่?
ปัจจุบันไม่นิยมใช้วาสลินเพราะเป็นเจลที่ได้จากปิโตรเลียม (Petroleum Jelly) เพราะถ้าใช้ไปนาน ๆ อาจทำให้รูทวารอักเสบ และไม่ควรใช้สบู่ที่เป็นด่างซึ่งจะระคายรูทวารหนัก
เจลที่ใช้ควรพิจารณาใช้เจลชนิดเดียวกับที่โรงพยาบาลใช้กับสายยางที่ใช้สอดใส่ในช่องของร่างกาย

คนตัดไส้ติ่งทำการสวนทวารฯ ด้วยกาแฟได้หรือไม่?
ธรรมดาการผ่าไส้ติ่งแพทย์ไม่ได้ไปทำอะไรกับลิ้นที่ปิด-เปิดระหว่างลำไส้เล็กกับลำไส้ใหญ่จึงทำการสวนทวารฯได้ อย่างไรก็ตามเพื่อความปลอดภัยในการสวนทวารฯ ห้าครั้งแรกควรใช้กาแฟแต่น้อยสักหนึ่งช้อนกาแฟก่อน ถ้าไม่มีอาการใจสั่นหรือนอนไม่หลับจึงค่อยใช้กาแฟหนึ่งช้อนโต๊ะและน้ำกาแฟไม่ควรเกิน 1,000 ซี.ซี. ในการสวนทวารฯ
คนเป็นโรคหัวใจ และโรคความดันโลหิตสูงที่ควบคุมได้ แล้วถ้าจะทำการสวนทวารด้วยกาแฟควรเริ่มที่การใช้ทำการสวนทวารฯแบบเดียวกับคนที่ผ่าตัดไส้ติ่ง
จำเป็นต้องใส่วิตามินบี คอมเพล็ก และสกัดตับ น้ำกาแฟที่ทำการสวนทวาร ฯ หรือไม่?

ควรใส่เพราะวิตามินบีคอมเพล็ก บวกวิตามินบี 12 จะช่วยแบคทีเรียที่ดีในลำไส้ใหญ่ให้แข็งแรง ช่วยบำรุงตับและป้องกันโรคโลหิตจางจากการขาดวิตามินบี 12

การสวนทวารฯบ่อยๆจะทำให้แบคทีเรียดีตายไปหรือไม่?
ไม่ เพราะลำไส้ยิ่งสะอาดแบคทีเรียดียิ่งมีมาก แต่ถ้าลำไส้สกปรกแบคทีเรียร้ายที่มีพิษที่ทำให้เกิดมะเร็งจะมีมากขึ้น
ทำการสวนทวารฯแล้วควรดื่มน้ำผลไม้หรือไม่?

ถ้ามีสุขภาพดีไม่ต้องดื่มก็ได้ แต่ถ้าสุขภาพไม่ดีการ
ทำการสวนทวารฯถ่ายออกมาเป็นน้ำอาจเสีย
พวกอิเล็กโตรไลต์ (Electrolyte) บ้างอาจจะทำ
ให้เพลีย
การดื่มน้ำมะนาวใส่เกลือจะทำให้หายเพลียได้

ทำไมเมื่อทำการสวนทวารฯ แล้วรับประทานอาหารอีก
ประมาณสอง ชั่วโมงก็อาเจียนจนหมดแรง?
เพราะเวลารับประทานอาหารเข้าไปอาหารจะอยู่ใน กระเพาะอาหารประมาณ 3 ถึง 6 ชั่วโมง การทำการสวนฯด้วยกาแฟ กาแฟไปกระตุ้นตับให้สร้างน้ำดี บางคนถ้าน้ำดีออกมามากเกินไปจนล้นเข้าไปในกระเพาะ ทำให้คลื่นไส้ อาเจียร ขมปาก เพราะน้ำดีมีรสขมอยู่แล้วแต่ไม่มีโทษอะไร เพราะน้ำดีออกมาเพื่อเตรียมย่อยอาหาร อย่างไรก็ตามถ้ามีอาการเช่นนี้บ่อย ๆ ควรลดจำนวนกาแฟลงและไม่ควรอั้นไว้นานเกิน 12 นาที

การสวนทวารฯ ด้วยกาแฟทำทุกวันได้หรือไม่?
ได้ตามคำแนะนำของ น.พ Nicholas J. Gonzalez: Dr. Nicholas J. Gonzales: Graduated from Cornell University Medical College in New York. Fellowship in immunology.
“Coffee enemas were frequently recommended because patients, whatever their underlying problem, tended to feel better after a coffee enema. I have followed thousands of patients over the years who have done coffee enemas in some cases for decades: virtually all patients report an increase sense of well being. I have done them myself daily since first learning about them in 1981.

นายแพทย์กอนซาเลส จบการศึกษาจากคณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยคอร์เนล รัฐนิวยอร์ค ประเทศสหรัฐอเมริกา ปัจจุบันเป็นผู้ชำนาญด้าน ภูมิต้านทาน
.พ. กอนซาเลส ได้กล่าวว่าคนไข้ของท่านสบายขึ้นหลังจากการสวนทวารฯ จากการติดตามผลนับพันรายในรอบสิบปีทุกรายบอกรู้สึกดีมาก ตัว น.พ.กอนซาเลสเองได้ทำสวนทวารฯ ทุกวันมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1981 (พ.ศ. 2524)
จากหนังสือเพรสคริบชั่น ฟอร์นิวทริชั่นนอล ฮีลลิง ของน.พ. เจม เอฟ บาลซ์ พิมพ์ครั้งที่ 3 แนะนำข้อควรระวังในการสวนทวารหนักด้วยน้ำกาแฟว่า ถ้าไม่ได้เป็นมะเร็งหรือมีเหตุที่จำเป็นจริง ๆ “ควรทำวันละครั้ง” และถ้าทำติดต่อกันทุกวันเกิน 6 เดือน ให้ระวังการขาดธาตุเหล็ก เกลือแร่ วิตามิน ที่อาจทำให้โลหิตจาง ดังนั้นจึงควรใส่วิตามินบีคอมเพ็ลกซ์และวิตามินบี 12 ทุกครั้ง เพื่อป้องกันการขาดวิตามินและบำรุงตับ เพิ่มพลังให้ตับ

สำหรับคนที่เป็นมะเร็ง การใช้กาแฟสวนนั้นจะช่วยขยายท่อน้ำดีและช่วยให้ตับขับพิษมะเร็งออกมา นอกจากนั้นยังช่วยทำความสะอาดโลหิตโดยขับพิษออกจากลำไส้ได้
คนที่เป็นมะเร็งที่ต้องสวนทวารด้วยน้ำกาแฟถึงวันละ 4 ครั้ง ควรใส่ควรวิตามิน 7 รีทอก พลัส 1ซอง ลงไปในน้ำกาแฟที่ใช้สวนทุกครั้ง จะช่วยซ่อมแซมตับให้แข็งแรง และทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นขึ้น



ข้อมูลใหม่ของการล้างพิษด้วยกาแฟที่ซึมผ่านลำไส้ใหญ่

การล้างสารพิษด้วยวิธีสวนล้างลำไส้ใหญ่ด้วยน้ำกาแฟ


1.เหตุใดจึงต้องเสนอข้อมูลใหม่เกี่ยวกับการล้างสารพิษด้วยกาแฟ
เพราะขณะที่เขียนนี้(ตุลาคม 2549)การสวนล้างลำไส้ใหญ่มีกระแสนิยมเพิ่มมากขึ้น ผู้สนใจมักจะหาอ่านหนังสือเกี่ยวกับการทำ”ดีท็อกซ์”ที่ตีพิมพ์มานานอย่างน้อยสองปีขึ้นไปหรือที่พิมพ์ใหม่ก็ไม่ได้แก้ไขเพิ่มเติมความรู้แต่อย่างใด
จึงจำเป็นต้องเรียนให้ท่านสมาชิกชมรมคนรักสุขภาพ 7 ก้าว.อ เพื่อปรับวิธีการทำการสวนทวารล้างพิษด้วยกาแฟให้ทันสมัยและปลอดภัยยิ่งขึ้น ถ้าพบว่ามีข้อแตกต่างจากที่ทำอยู่ก็รีบปรับทำตามที่แนะนำใหม่นี้จะพบว่าได้ผลดีกว่าเก่ามาก

2.หลังจากสวนน้ำกาแฟเข้าไปในลำไส้ใหญ่แล้วให้นอนตะแคงขวาและคู้เข่าควรอั้นไว้นานเท่าไหร่
ในปัจจุบันสถาบันที่สอนการทำ”ดีท็อกซ์”ในสหรัฐอเมริกากำหนดให้อั้นไว้ 12 นาที เพราะสถิติจากผู้ที่ทำ”ดีท็อกซ์”กว่า10,000 คนพบว่าถ้าอันนานกว่า 15 นาที จะมีกาแฟจำนวนหนึ่งถูกดูดซึมผ่านตับไปยังกระแสโลหิตมีผลให้พวกที่ไวต่อฤทธิ์ของกาแฟมีอาการใจสั่น นอนไม่หลับ ปัสสาวะ บ่อย และที่สำคัญบางคนมีอาการติดกาแฟ ถ้าอั้นไว้แค่ 12 นาทีจะไม่มีอาการนอนไม่หลับหรือใจสั่นแต่อย่างไร

3.กาแฟที่ใช้สวนลำไส้ใหญ่ควรใช้กาแฟอย่างไหนและจำนวนเท่าไหร่
เพื่อความสะดวกควรใช้กาแฟผงชนิดชงละลายจากแหล่งผลิตที่เชื่อถือได้ว่าซื่อสัตย์มีความเกรงกลัวต่อบาป ไม่ผสม นม เนย น้ำตาลโมลาส หรือของแปลกปลอมอื่นๆเพื่อเพิ่มปริมาณกาแฟซึ่ง หจก.7 ก้าว ได้หากาแฟที่เชื่อถือได้ ขึ้นทะเบียนอาหารและยา (อย.10-1-27648-1-0001)มาจำหน่าย และผู้ใช้สามารถขอดูผลการวิเคราะห์ของกาแฟในแต่ละรุ่นการผลิต
จำนวนผงกาแฟที่ใช้ห้ามเกิน 1 ช้อนโต๊ะปาดหรือ 3 ช้อนชาปาด (ห้ามใช้ช้อนพูน เพราะจะกลายเป็น 2 ช้อน) และที่ห้ามใช้กาแฟเกินจากที่กำหนด เพราะกาแฟที่มีมากเกินไปจะถูกดูดซึมผ่านตับไปยังกระแสโลหิตมีผลให้พวกที่ไวต่อฤทธิ์ของกาแฟมีอาการใจสั่น นอนไม่หลับ ปัสสาวะ บ่อย และที่สำคัญบางคนมีอาการติดกาแฟ

4.มีผู้ทำ”ดีท็อกซ์”แล้วมีอาการร้อนในปากเปื่อยเพราะอะไร
เป็นเพราะขาดวิตามิน บี 12 บางคนยังมีอาการซีดเพราะโลหิตจางด้วย ดร.บาล์สแนะนำให้ผสมวิตามิน บีคอมแพลกและวิตามินบี12 ลงไปในน้ำกาแฟก่อนสวนทวารหนักเพื่อป้องกันการขาดวิตามินและเสริมตับให้แข็งแรงมากขึ้น
อนึ่งสกัดตับมีวิตามิน บี 12 เพียง 10 ไมโครกรัมหรือ0.01 มก เท่านั้น บางคนใช้วิตามิน บี 12 ที่ผลิตมาเพื่อรักษาโรคโลหิตจาง ที่มีวิตามินถึง 1,000 มก. ซึ่งมากไปไม่เหมาะสำหรับผสมในน้ำกาแฟ”ดีท็อกซ์”

5.มีผู้ทำ”ดีท็อกซ์”แล้วมีอาการข้อติด เข่าติด เพราะอะไร
เพราะการใช้วิตามิน บี คอมแพลก ที่มี ตัวยา ไนอาซิดนาไมด์ ถึง 100 มก.ผสมลงไปในน้ำกาแฟ
“ดีท็อกซ์” บางคนที่ไวต่อไนอาซิดนาไมด์ ร่างกายจะผลิตยูลิคมากขึ้นทำให้มีอาการข้อติด เข่าติด ถ้าใครมีอาการอย่างนี้ให้เปลี่ยนใช้วิตามิน7 รีทอก พลัสใส่ได้ทุกวันตามปกติ

6.ทำไมจึงควรทำ”ดีท็อกซ์”ทุกวัน


<!--[if !vml]--><!--[endif]-->
การขับถ่ายทุกวันวันละครั้งจะมีกากอาหารค้างอยู่อย่างน้อย 4 มื้ออาหารและถ้าอาหารประกอบด้วยเนื้อสัตว์กากอาหารจะกลายเป็นสารพิษตามภาพจะเห็นว่าในตอนเที่ยงวันศุกร์อาหารที่รับประทานเมื่อวันพฤหัสบดียังอยู่ในลำไส้ใหญ่ถ้าได้ถ่ายตอนเช้าก็จะมีกากอาหารของวันพฤหัสบดี ค้างอยู่ 2 มื้อรวมกับวันศุกร์อีก3มื้อจะมีกากอาหารในลำไส้ใหญ่ถึง 5 มื้อ
การขับถ่ายทุก 3 วันจะมีกากอาหารค้างอยู่อย่างน้อย 11 มื้ออาหารและถ้าอาหารประกอบด้วยเนื้อสัตว์กากอาหารจะกลายเป็นสารพิษ
ตามหลักของแพทย์องค์รวมกากอาหารไม่ควรติดค้างในลำไส้นานเกิน 48 ชั่วโมงจึงควรทำ ”ดีท็อกซ์”ทุกวัน หรือถ้าไม่มีเวลาจริงๆควรทำ”ดีท็อกซ์”อย่างน้อยอาทิตย์ละสองวันติดต่อกัน (ทำวันเว้นวันผลได้ไม่ดีเท่ากับทำติดต่อกัน)

7.ทำ”ดีท็อกซ์”แล้วเกิดสิวเม็ดใหญ่ๆขึ้นบริเวณใบหน้า ต้นคอ หรือแผ่นหลังเพราะอะไร
เป็นเพราะมีสารพิษสะสมอยู่ในเซลล์ไขมันเป็นจำนวนมาก เมื่อตับเอาคลอเรสเตอรอล จากเซลล์ไขมันไปผลิตกรดน้ำดี(Bile Acid) เพื่อใช้ขับสารพิษออกจากร่างกายทำให้จำนวนไขมันลดลง สารพิษที่ละลายอยู่ในน้ำมันบางส่วนจึงถูกดูดซึมเข้าไปในกระแสโลหิตและขับออกทางผิวหนัง ส่วนใหญ่จะเป็นหน้า คอ แผ่นหลัง ในกรณีนี้นับว่าเป็นโชคดีที่ทำ”ดีท็อกซ์”แล้วเป็นสิวเพราะทำให้รู้ว่าในขณะนี้มีสารพิษสะสมอยู่มากมายถ้าไม่รีบขจัดออก สตรีบางคนตรวจพบว่ามีซีส มีช็อกโกเลตชีสในมดลูก หรือมะเร็ง ในกรณีนี้จึงควรทำ”ดีท็อกซ์”เพื่อล้างพิษทุกวัน เมื่อพิษหมด สิวเหล่านี้จะหมดไป

8.หลังจากอั้นครบ 12 นาทีแล้วปรากฏว่าถ่ายไม่ออกซึ่งเกิดจากการเกร็งตัวของลำไส้ จะทำอย่างไร
วิธีแก้ไข
1ใจเย็นไม่ต้องตกใจ
2นอนตะแคงขวางอเข่าข้างหนึ่งเหมือนนอนก่ายหมอนข้างเอากระเป๋าน้ำร้อนวางไว้ที่ท้อง
3 อีก 10ถึง15 นาทีถ้ายังไม่ถ่ายให้ทำ “ดีท็อกซ์”อีกครั้งหนึ่งด้วยปริมาณน้ำกาแฟ 800 ซีซี ตามปกติจะถ่ายออกมาตั้งแต่นอนประคบน้ำร้อนแล้ว แต่ถ้าไม่ถ่ายก็ไม่ต้องกังวลเพราะน้ำกาแฟทั้งหมดจะถูกดูดซึมผ่านลำไส้ใหญ่และขับออกมาทางปัสสาวะ และให้รับประทานน้ำมันละหุ่ง 2 ช้อนโต๊ะเพื่อถ่ายกากอาหารที่ค้างอยู่ออกมา
สรุปประโยชน์ของการสวนลำไส้ใหญ่ด้วยกาแฟ

1.การที่สารละลายกาแฟไปกระตุ้นต่อท่อน้ำดี ทำให้ปากถุงน้ำดีเปิดออก มีแรงบีบถุงน้ำดีเพิ่มขึ้น ทำให้มีการถ่ายเทของ
1)เกลือน้ำดี(ไบล์ ซอลท์ Bile Salt) หมักหมมเข้มข้นออกไป เป็นการป้องกันการเกิดนิ่วในถุงน้ำดีที่เกิดจากการตกผลึกของเกลือน้ำดี
2)สารพิษที่ตับเก็บไว้จากการกรองเลือดทั้งร่างกาย ถือว่าเป็นการล้างสารพิษออกไปจากตับและถุงน้ำดี ทำให้”โกดังเก็บสารพิษตับ”ว่างลงมีที่เก็บสารพิษที่เกิดขึ้นได้มากขึ้น

2.เลือดที่ผ่านตับทุก 3 นาที จะพาสารพิษทั้งโลหะและอโลหะเช่นสารที่ได้จากการสันดาปโปรตีนพวกไนโตรเจน กรดอะมิโนรวมทั้งกลุ่มอนุมูลอิสระที่อาจอุดตันหลอดเลือด ทั้งนี้ตับจะเก็บไว้ใน”โกดังเก็บสารพิษ””ที่มีที่ว่างมากพอจากข้อหนึ่ง ทำให้ไม่มีสารพิษต่างๆที่จะล้นจากตับที่ไปอยู่ทั้งในเชลลูไลท์และในเนื้อเยื่อ ไขมันที่เคยใช้ห่อหุ้มสารพิษเหล่านี้จะเผาผลาญหรือสันดาปได้ง่าย

3.เลือดที่กรองสะอาดบริสุทธิ์ไม่มี อนุมูลอิสระมีผลต่อการลดหรืออาจลบลอยตกกระ ไฝ ฝ้า ของผิวหนัง ทำให้หน้าใสขึ้น เอ็นไซม์กลูตาไธโอนที่ตับผลิตเพิ่มขึ้นถึง 650% จะทำลายอนุมูลอิสระที่เป็นต้นเหตุของโรคแห่งความเสื่อม การแก่ก่อนวัย รวมทั้งมะเร็ง

4.เซลล์ตับสร้างกรดน้ำดีจากคอเลสเตอรอล ดังนั้นการเปิดท่อถุงน้ำดีเทกรดน้ำดีทิ้งไปทุกครั้งที่สวนล้างลำไส้ใหญ่ด้วยกาแฟก็คือการลดคอเลสเตอร์รอลลง ตับจะสร้างน้ำดีขึ้นมาทดแทนน้ำดีที่ถูกขับออกไปจากเนื้อเยื่อไขมันที่สร้างมาจากคอเลสเตอร์รอลที่เรียกว่า ไลปิด(Lipid) ที่อยู่ตามพุง ทำให้คนทำการสวนล้างลำไส้ใหญ่ด้วยกาแฟมีเอวเล็กลงแต่น้ำหนักไม่ลดลงแต่อย่างใด

5.ขจัดตะกรันกากอาหารและสารพิษที่จับติดอยู่ตามผนังลำไส้ใหญ่ให้หลุดออก และป้องกันไม่ให้มีกากอาหารของโปรตีนตกค้างในลำไส้ใหญ่นานเกินไปอันเป็นเหตุให้ แบคทีเรียตัวร้ายเปลี่ยนโปรตีนให้เป็นแอมโมเนีย อินดอล สแกตอล กาซไข่เน่า มีเทน เอธิโอนีน คาร์บอนไดออกไซด์ ฯลฯ ที่ทำให้อุจจาระ ปากและตัว มีกลิ่นเหม็นมาก และที่สำคัญบางตัวยังมีพิษต่อไต บางตัวก่อให้เกิดภูมิแพ้ บางตัวทำให้เกิดมะเร็ง

6.ช่วยขจัดสารพิษที่เกิดจากเน่าสลายของเนื้อเยื่อในแกนกลางของมะเร็งที่ตายไป ลดอาการครั่นเนื้อครั่นตัว เป็นไข้ เบื่ออาหาร ผอมแห้งลง ทำให้คนไข้รับประทานอาหารได้มากขึ้น ฟื้นตัวได้เร็ว

7.ช่วยลดไข้ ลดอาการปวดเมื่อย อาการปวดท้อง เคลื่อนไส้ อาเจียน ในคนที่เป็นมะเร็งโดยไม่ต้องใช้ยาแก้ปวด  



view

 หน้าแรก

 บทความ

 เว็บบอร์ด

 รวมรูปภาพ

view